twitter
rss

ค้นหาบทเรียน

นักศึกษาที่ติดตามบทเรียน

การอ่านแบบคร่าว (Scanning) คือการอ่านเร็วที่ไม่ได้ค้นหาความคิดสำคัญของเรื่อง แต่ค้นหาข้อมูลเฉพาะที่ต้องการทราบ เช่น ข้อเท็จจริง วันที่ ชื่อ สถิติ เป็นต้น อย่างที่หลายท่านทราบ Scanning คือการอ่านเร็ว เหมือนกับ Skimming แต่ต่างกันตรงที่ Scanเป็นการอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการ เช่น การหาชื่อคนในสมุดโทรศัพท์ เป็น
      ตัวอย่างที่ดีของการ Scan วิธี Scan นี้มีประโยชน์มากในการอ่าน เพราะทำให้ได้ข้อมูลที่ต้องการภายในเวลารวดเร็ว เช่น ในเวลาอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้เรียนอาจต้องหาเพียง ชื่อ วันที่ สถิติ หรือข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น ผู้เรียนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านเรื่องทั้งหมด เพียงแต่กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ทีละ 2 – 3 บรรทัด เพื่อหาสิ่งที่ต้องการ แต่ที่สำคัญคือ ผู้เรียนต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า กำลังหาอะไร ในใจ จะต้องกำหนดสิ่งนั้นอย่างชัดเจน เพื่อที่เวลาอ่านจะได้รู้สึกว่สิ่งที่ต้องการจะปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด
เคล็ดลับการ scan (Tips and Tricks)
    อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การอ่านแบบรวดเร็ว เพื่อหาคำตอบที่ต้องการ เช่น การหาเบอร์โทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์การค้นหาดรรชนีในหนังสือตำราเรียนการอ่านโฆษณาต่าง ๆ หรือแม้แต่การค้นหาคำศัพท์ในพจนานุกรม ชุดของคำถามที่ผู้เรียนมักจะเจอ ในการถามรายละเอียดในการอ่านแบบ scanning อาจมีดังนี้ According to the passage , The passage states that,  The author states that,  What does the author say about,  Which of the following is not true?,  Which of the following is not stated in the passage?,  All of the followings are true except.
ขั้นตอนง่ายๆในการอ่านด้วยวิธี Scanning มีดังนี้
       1.  อ่านคำถามเกี่ยวกับข้อความนั้น ๆ ก่อนเพื่อประหยัดเวลา และช่วยในการหาคำตอบได้รวดเร็วขึ้น
       2.  อ่านข้อความ หรือ scan ย่อหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อพบข้อความเกี่ยวกับคำตอบแล้ว ให้อ่านช้าลงและรอบคอบระมัดระวัง และพยายามหาคำและกลุ่มคำที่สำคัญ (Key words and phrases) ที่จะช่วยให้คำตอบที่ถูกต้อง
       3.  หากเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choices) ให้ตัดคำตอบที่ผิดออกและเลือกคำตอบที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่
วิธีการอ่านแบบคร่าวที่มีประสิทธิภาพมีขั้นตอนดังนี้
สำรวจข้อเขียนนั้นโดยภาพรวมว่ามีโครงสร้างแบบใด
  เพื่อประโยชน์ใน การค้นหาว่าประเด็นสำคัญอยู่ในตำแหน่งใดบ้าง หัวเรื่องย่อยต่าง ๆ นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบอกประเด็นสำคัญของเรื่อง ในการอ่านแบบคร่าวนี้ส่วนประกอบที่เป็น แผนที่ ตาราง กราฟ แผนภูมิ แผนผัง ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยบอกสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการอธิบายได้
รู้วัตถุประสงค์ของการอ่านว่าเราต้องการค้นหาอะไรจากข้อเขียนนั้น
วัตถุประสงค์ของการอ่านจะเป็นสิ่งกำหนดเป้าหมายว่าเราต้องการคำตอบในเรื่องใด ผู้อ่านควรตั้งวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้การค้นหาคำตอบเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
คาดเดาหรือทำนายจากการใช้คำในเรื่อง
  เช่น หากเรา ต้องการทราบจำนวนประชากร เราก็ต้องมองหาตัวเลขในเรื่องนั้น หากเราต้องการทราบการนิยามความหมายของคำก็อาจมองหาข้อความที่มีลักษณะการพิมพ์แตกต่างไปจากปกติ เช่น ตัวเข้ม ตัวเอียง หรือใช้เครื่องหมายคำพูด เป็นต้น
ระบุตำแหน่งที่น่าจะค้นหาคำตอบที่ต้องการทราบได้
การค้นหาตำแหน่งที่น่าจะพบคำตอบนี้ใช้วิธีการเดียวกับการอ่านแบบข้าม ได้แก่ การดูที่ย่อหน้าแรก ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของย่อหน้า หัวเรื่อง และย่อหน้าสุดท้าย
ใช้รูปแบบการค้นหาที่เป็นระบบ
เมื่อทราบวัตถุประสงค์ในการอ่าน ว่าต้องการอะไร และตำแหน่งที่จะค้นหาคำตอบได้อยู่ที่ใดแล้ว ก็เริ่มอ่านแบบคร่าวโดยกวาดสายตามองข้อเขียนนั้นอย่างรวดเร็วแต่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน อย่างไรก็ตามลักษณะการกวาดสายตาก็ขึ้นอยู่กับการจัดวางเนื้อหาของข้อเขียนนั้นด้วยว่าต้องกวาดสายตาอย่างไร เช่น จากซ้ายไปขวา หรือจากบนลงล่าง เป็นต้น
ยืนยันคำตอบที่ต้องการจากการอ่าน
ทันทีที่เราตอบคำถามตัวเองได้ว่าต้องการคำตอบในเรื่องอะไรแล้ว ก็ลงมืออ่านเพื่อค้นหาประโยคที่คิดว่าจะเป็นคำตอบ
ตรวจดูบัญชีรายชื่อและตาราง
สิ่งสำคัญในการอ่านแบบคร่าวก็คือ เราต้องเข้าใจว่าผู้เขียนมีวิธีเรียบเรียงและจัดแบ่งข้อมูลต่าง ๆ อย่างไร เช่น การค้นหารายการโทรทัศน์ที่มีวิธีการจัดแบ่งตามวันและเวลาที่ออกอากาศ แต่อยู่ภายใต้การจัดแบ่งตามสถานีและชื่อรายการ หรือในหนังสือพจนานุกรม สารานุกรม จะมีการจัดเรียงคำตามลำดับตัวอักษร คำที่อยู่บรรทัดบนสุดของหน้ากระดาษจะเป็นตัวชี้ให้ทราบว่าคำแรกและคำสุดท้ายในหน้านั้นคือคำใด ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาคำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในการอ่านแบบคร่าวก็เช่นกัน เรามักใช้วิธีดูที่อักษรตัวแรกของแต่ละบรรทัดว่าตรงกับคำที่เราต้องการหรือไม่ หากไม่พบก็อาจดูสองคำแรก จนกว่าจะพบคำที่ต้องการค้นหา
การค้นหาคำตอบจากข้อเขียนแบบพรรณนา
โครงสร้างของ ข้อเขียนที่มีรูปแบบการเขียนแบบพรรณนานั้นมักค้นหาได้ยากกว่าข้อเขียนที่เขียนในรูปแบบของการจัดวางเป็นคอลัมน์ หรือตาราง การอ่านข้อเขียนประเภทนี้แบบคร่าว ๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องอาศัยการค้นหาคำที่แสดงร่องรอยให้เราสามารถคาดเดาเรื่องราวได้ ในการอ่านข้อเขียนลักษณะดังกล่าวเราต้องกวาดสายตาดูที่ย่อหน้าต่าง ๆ ให้ทั่วถึง พยายามให้คำสำคัญหรือ คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่จะช่วยในการตอบคำถามของเราเด่นชัดขึ้นมา
แบบฝึกหัดการอ่านแบบข้าม (Scanning)
Direction: Scan this passage below and choose the best alternatives for each question. 
                                            Tom Yum Kung keeps cancer away
             A bowl of tom yum kung a day helps keep cancer away.  According to a Thai-Japanese study.
            Although the result is only preliminary, the researchers say the world’s most popular Thai dish has several anti-cancer properties more effective than other antioxidants.
            Substances found in galangal, lemon grass and kaffir lime leaves-the main ingredients found in the spicy soup-are 100 times more effective in preventing tumors than those found in other food.
            “ Thai cuisine is full of herbs and spices which are known for their health benefits “ said Suratwadee Jiwajinda, a researcher at Central Laboratory and Greenhouse complex, Kasetsart University.
1. How much tom yum kung do you have which helps keep cancer away?
            a. one bowl every three days   b. one bowl a week
            c. one bowl a day                        d. It’s up to you have
2. Why does tom yum kung help keeping cancer away?
            a. It has a lot of shrimps (kung)            b. It has a lot of substances
            c. It has a lot of spicy soup                    d. It has a lot of tumors
3. Who studies about this food?
            a. The teachers             b. The researchers
           c. Central Laboratory    d. A Thai-Japanese study
4. What are the main ingredients of tom yum kung ?
            a. kaffir lime leaves, galangal and lemon grass  b. lemon grass, herb and galangal
            c. kung and lemon grass            d. galangal and kung
เฉลยแบบฝึกหัด
1. c       เนื้อเรื่องระบุไว้ชัดเจนในบรรทัดแรกว่าการทานต้มยำกุ้งวันละหนึ่งชาม จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
2. b        คีย์เวิร์ด Substances found in galangal, lemon grass and kaffir lime leaves ในย่อหน้าสาม ตอบคำถามว่าเพราะเหตุใด อาหารจานเด็ดอย่าง ต้มยำกุ้ง ถึงมีประโยชน์ในการช่วยต้านโรคมะเร็ง เพราะมีสารอาหารที่มีประโยชน์อยู่นั่นเอง
3. b              เนื้อเรื่องบอกอย่างชัดเจนในย่อหน้าสองว่า นักวิจัย (researchers) ซึ่งมีทั้งคนไทยและญี่ปุ่น ร่วมกันศึกษาเรื่องต้มยำกุ้ง ที่มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคมะเร็งนี้
4. a     main ingredients ส่วนประกอบหลักของต้มยำกุ้ง มี 3 อย่างได้แก่ galangal (ข่า), lemon grass (ตะไคร้) และ  kaffir lime leaves (ใบมะกรูด)
                                                            E-Education begins
                RANGOON – Burma launched an ambitious e–education program over the weekend with the opening of 203 electronic learning centers in all states and divisions nationwide, official media reports said recently.
            The “Electronic Data Broadcasting System” we officially inaugurated recently by the Ministry of Education and Ministry of Information, said the state run New Light of Myanmar newspaper.
            Under the program, students will have access to lectures on “academic subjects and technology subjects” at special learning centers via computer, satellite links and television.
 1. Where in  Burma inaugurated e-education program?
            a. Myanmar            b. Rangoon
            c. all the states       d. centre of Burma
2. When did e-education program open?
            a. everyday            b. every week
            c. every month       d. only weekend
 3. Which subjects do the students have on this program?
            a. technology and academic subjects     b. academic subjects and electronic
            c. technology and science subject          d. Mathematics and English
4. Ms. Chantana: Can I study the English subject via television?
    The students: ........................................................
   a. Yes, I can.   b. No, I can’t.
   c. Yes, you can.  d. No, you can’t
เฉลยแบบฝึกหัด:
1. b.  คำแรกของประโยคแรกในเรื่อง บอกชัดเจนว่า  RANGOON (เมืองย่างกุ้ง) ของประเทศพม่า เป็นสถานที่ที่ใช้เริ่มโปรแกรมการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นทางการ
2. d. over the weekend ในย่อหน้าแรก เป็นคีย์เวิร์ด สำคัญนำไปสู่คำตอบที่ว่าโปรแกรมการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ เปิดให้บริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์ และอาทิตย์) เท่านั้น
3. a. technology and academic subject เทคโนโลยี และวิชาการ เป็นสองวิชา ที่นักเรียนจะได้เรียนในโปรแกรมนี้ 4. c. television คีย์เวิร์ด ในย่อหน้าสุดท้าย และคำสุดท้ายของเรื่อง ช่วยให้ได้คำตอบว่า นักเรียนสามารถเรียนภาษาอังกฤษ ผ่านโทรทัศน์ได้

Drawing Inferences

Drawing Inferences


การนำไปสู่การอนุมาน (การลงความเห็น)


การอนุมาน คือการยืนยันเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้จากรากฐานของสิ่งที่รู้แล้ว (S. I. Hayakawa)


การอนุมานคือการเดาโดยใช้หลักฐาน เป็นข้อสรุปของผู้อ่านเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงบนฐานของสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว การอนุมานในขณะที่กำลังอ่าน เหมือนกับการอนุมานในชีวิตประจำวัน ถ้าเพื่อนสนิทกลับมาจากการนัดบอดและมีท่าทางน่าสงสารที่สุด บางทีคุณอาจอนุมานว่าการนัดไม่ประสบความสำเร็จ การอนุมานขณะอ่านต้องการความตั้งใจเหมือนกัน
ที่จะหาหลักฐานและนำมาสรุปโดยยังไม่แสดงออกมาเป็นคำพูด ในการอ่านเท่านั้น ที่หลักฐานของการอนุมานมีอยู่ในคำพูดอย่างเดียว โดยไม่มีเหตุการณ์จริง การแสดงออก หรือการแสดงท่าทาง


ในการนำความหมายจากหน้าหนังสือ ผู้อ่านจำเป็นต้องมีการอนุมาณหลายชนิด ต้องอนุมานแนวคิดหลัก หาความสัมพันธ์ระหว่างประโยคและย่อหน้า เพื่อเชื่อมรายละเอียดที่สนับสนุน จับคู่คำสรรพนามกับสิ่งที่กล่าวมาก่อน (คำที่สรรพนามอ้างถึง) เข้าใจหน้าที่ของการพาดพิงถึง (การอนุมานถึงผู้คนและเหตุการณ์ที่ใช้ในการตัดสินใจ) และนึกถึงเครื่องโสตทัศนูปกรณ์ที่ช่วยให้ความหมายของผู้เขียน (เป็นส่วนหนึ่งในรายการเท่านั้น) ในขณะที่สรุปโดยทั่วไปว่านักเขียนใส่คำทุกคำที่นักอ่านต้องหาความหมาย โดยไม่ออกนอกเรื่อง ผู้อ่านช่วยให้เกิดใจความใหม่เสมอจากการอ่าน สำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้อนุมานเพื่อเติมช่องว่างในเนื้อหา มีความเป็นไปได้ที่จะพลาดหรือเข้าใจผิดความหมาย ที่ผู้ประพันธ์หมายถึง


ตัวอย่าง ในการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุมาน ที่จะสื่อสารระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน “หลังจากอ่านว่า Paris Hilton บอกกับนักสัมภาษณ์ว่าเพลงติดอันดับของเธอ 'Stars Are Blind' มีความเพราะแค่ไหน จนทำให้เธอร้องไห้ได้ ทำให้ฉันคิดถึงคำพูดของ Mark Twain ว่า “คนเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่หน้าแดงจากการขวยอาย – หรือจำเป็นต้องทำ”


เพื่อเข้าใจประโยคนี้ ผู้อ่านต้องคำนึงถึงข้ออนุมานที่จำเป็น อย่างน้อย 3 ข้อ


a. ผู้เขียนคิดว่าเพลงนี้ แย่มาก
b. Mark Twain คิดว่ามนุษย์เท่านั้น ที่หน้าแดงด้วยความขวยอาย เพราะว่าเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่ทำอะไรไปแล้ว มีความอาย
c. ผู้เขียนเชื่อมโยงระหว่าง Hilton และ Twain เป็นพวกมนุษย์ที่ควรหน้าแดงจากความอาย


ให้สังเกตุว่าผู้เขียนหวังให้ผู้อ่านอนุมาน สิ่งที่กล่าวมาก่อน สำหรับคำสรรพนาม "her" คือ Paris Hilton การเชื่อมสรรพนามกับสิ่งที่กล่าวมาก่อน เป็นชนิดของการอนุมานที่พบบ่อย ที่ผู้อ่านต้องพบในพื้นฐานการเชื่อมโยง


สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการอนุมาน


1.มีอนุมานที่ใช้เหตุผลและไม่ใช้เหตุผล การอนุมานที่เหมาะสมกับส่วนที่เหลือของเรื่องและที่ไม่เหมาะสม ให้แน่ใจว่าการอนุมานเหมาะสมกับคำกล่าวของนักเขียนมากกว่าความรู้สึกและความเห็นของผู้อ่าน ตัวอย่าง เช่น ถ้าผู้เขียนใช้ภาษาที่สละสลวย ในการบรรยายถึงตำแหน่งประธานาธิดีของ Bill Clinton แต่ไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับช่วงเวลาของการทำงาน เราไม่สามารถอนุมานว่าผู้เขียนเป็นนักวิจารณ์ Clinton เพราะว่าตัวเราเองคิดว่า Bill Clinton เป็นประธานาธิบดีที่แย่มาก


2.คิดถึงการอนุมานแนวคิดหลักที่บอกเป็นนัย ในกระบวนการ 2 ขั้นตอน เริ่มจากบางส่วนไปจนตลอดเรื่อง ขั้นตอนแรก ทำความเข้าใจว่าแต่ละประโยคให้แนวคิดอะไร กับความรู้ของเรื่อง ต่อไปถามตัวเองว่า ประโยคไหนเชื่อมกันเป็นกลุ่มเพื่อเสนอแนะ คำตอบสำหรับคำถามที่บอกเป็นนัยเกี่ยวกับแนวคิดหลักของย่อหน้า


3.ถ้ารวบรวมการอนุมานเกี่ยวกับความคิดหลักแล้ว ตรวจสอบว่าการอนุมาน ขัดแย้งกับการกล่าวยืนยันใดในย่อหน้า ถ้ามีต้องอนุมานแบบไม่ใช้เหตุผลกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อมูลที่ได้มา กับการอ่านที่ยาก ต้องค้นหาภาษาหรือถ้อยแถลง ที่นำไปสู่ความคิดหลักที่อนุมาน การอ่านที่เจาะลึก เป็นการตรวจสอบการอ้างอิง และช่วยให้ฝึกการอ่านที่ใช้ความคิด ที่ทำให้มีการจดจำ


4.การส่งต่อ เช่น "consequently – ดังนั้น" "next – ต่อไป" และ "in summary – กล่าวโดยย่อ" ช่วยผู้อ่านเชื่อมระหว่างประโยคและย่อหน้า การส่งต่อเป็นสิ่งที่ผู้เขียนพูดว่า “นี่เป็นการเชื่อมต่อ ที่คุณต้องทำระหว่างสิ่งที่คุณเพิ่งอ่านจบไปกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง” อย่างไรก็ตาม การส่งต่อไม่พบบ่อยถึงแม้ผู้อ่านจะชอบ เป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่จะหาการเชื่อโยงระหว่างประโยคและย่อหน้า หรืออออีกนัยหนึ่ง เป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่จะหาการอนุมานที่ถูกต้อง ถ้าประโยคไม่ได้ขึ้นต้นด้วยการส่งต่อ ให้แน่ใจว่าประโยคที่กำลังอ่านอยู่เชื่อมโยงกับแนวคิดที่มาก่อนหน้านี้


5.ตั้งใจอ่านประโยคแรก เพื่อที่จะพบเงื่อนงำที่ต้องการเพื่อนำไปอนุมานระหว่างประโยคและย่อหน้า


6.ให้ระวังคำอุปมาหรือสำนวน (การแสดงออกที่อยู่ผิดที่สำหรับผู้ที่เรียนภาษา แต่มีความหมายสำหรับผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับการได้ยินหรือการอ่านสำนวนเหล่านี้) เช่น


She loved her job; the money was "icing on the cake = a second great thing happens in addition to the first"
เธอรักงานของเธอ; เงินตราคือ “สิ่งยิ่งใหญ่ครั้งที่สองเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากสิ่งแรก"


คำอุปมาและสำนวน มักจะเสนอแนะความหมายที่ตรงกับข้อความของนักเขียน เช่นถ้าผู้เขียนกล่าวว่า
"the shotgun marriage between the unions and management dissolved once the war was over"


“ลูกกระสุนปืนแต่งงานระหว่างการแก้ปัญหาของการรวมตัวและการจัดการ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง”


อาจอนุมานว่าการรวมตัวและการจัดการทำงานร่วมกัน เพราะว่าถูกบังคับโดยความจำเป็น อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้กล่าวเกี่ยวกับข้างใดข้างหนึ่งที่ถูกบังคับ แต่ใช้สำนวนแทน โดยหวังว่าผู้อ่านจะอนุมานได้ถูกต้อง


7.หนังสือที่รวมโสตทัศนูปกรณ์ไว้ด้วย แต่ทั้งชื่อเรื่องและบทนำไม่ได้บอกอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับความหมายของผู้เขียน ต้องใช้เวลาในการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวหนังสือและสิ่งที่แสดงด้วยภาพ ความสัมพันธ์ของการอนุมานระหว่างคำพูดของผู้เขียนกับโสตทัศนูปกรณ์ จะทำให้มีความเข้าใจทั้งหมดในแต่ละจุด โดยมี 2 วิธีคือ ทางภาษาและการมองเห็น เพื่อฝังข้อมูลที่อยู่ในความทรงจำอันยาวนาน




แบบฝึกหัดที่ 1


ในแต่ละข้อในแบบฝึกหัด บรรยายึงบุคคลสำคัญ ให้ทำการอนุมาณชื่อบุคลเหล่านั้น


1. A small-town lawyer from Illinois, tall and lanky with an Adam's apple that could have gone down in the Guinness Book of Records had it existed in the nineteenth century. Nevertheless, he changed the face of American history, steering it through a civil war that left both sides bloody. Who knows what more he could have done had an assassin's bullet not cut him down.


บุคคลที่บรรยายไว้ คือ _______________________________
ในการอนุมาณที่ถูกต้อง ข้อมูลที่มีประโยชน์มากกว่าคือ
a. He had a big Adam's apple.
b. He steered the nation through a civil war.
อธิบายคำตอบ:


2. Glittering and shaking to the strains of "Proud Mary," this lady ruled the stage in the sixties, but Ike ruled the roost until she walked out the door. It took her almost a decade to get back on top but she still remains one of pop's great divas. Closing in on sixty, she can still belt out rock and roll with singers half her age, and "Simply the Best" just may qualify as her own personal theme song.


บุคคลที่บรรยายไว้ คือ _____________________________
ในการอนุมาณที่ถูกต้อง ข้อมูลที่มีประโยชน์มากกว่าคือ
a. She ruled the stage but Ike ruled the roost.
b. She was a popular singer in the sixties.


แบบฝึกหัดที่ 2
ในแต่ละสถานการณ์ การอนุมานที่ถูกต้องคือ


1. You have just gotten a pit bull puppy from an animal shelter. He's lovable but nervous. If you raise your voice for any reason, he cowers and trembles. If you scold him, he hides. When you got him from the shelter, he had a slight limp and a deep scratch across his nose.


Inference:


2. You are a high school student sitting in class when a substitute teacher walks in and announces that your regular teacher is ill. Everyone in the class including you erupts in applause. The substitute raps his knuckles on the desk for order, but the students ignore him and talk louder.


Inference:


แบบฝึกหัดที่ 3


แต่ละข้อคือชื่อเรื่อง ตามด้วยการอธิบายชื่อเรื่องเฉพาะ (Specific Statements ) 6 เรื่อง เลือกการอนุมานที่ถูกต้อง


1. Topic: Shakespeare in nineteenth-century America
Specific Statements:


a. In the early nineteenth century, Shakespeare was the most widely performed playwright in both the North and Southeast.
b. In the first half of the nineteenth century, English and American actors could always earn money by performing Shakespeare in towns both big and small.
c. American audiences were famous for their participation in performances of Shakespeare's plays: They hurled eggs and tomatoes at the villains and cheered and whistled for the heroes.
d. By the end of the nineteenth century, theater owners claimed that most ordinary people couldn't understand Shakespeare, and they were refusing to stage his plays.
e. In the early 1800s, theater goers in big cities could often choose between three different productions of Macbeth or Romeo and Juliet; by the end of the nineteenth century, it was hard to find one production of a Shakespeare play, let alone several.




Inference
a. Early American audiences embraced Shakespeare's plays enthusiastically because they wanted to prove that they were as clever and sophisticated as their former British rulers.
b. The role of Shakespeare in America changed dramatically as the nineteenth century drew to a close.


2. Topic: The medics in World War II


Specific Statements:
a. During training for combat, the medics were often despised because most of them had refused to take up arms.


b. The medics had their own barracks and were separated from combat soldiers, who referred to them as "pill pushers" and laughed at their medical drills.
c. In actual combat, it was often the medics who meant the difference between life and death for soldiers wounded in battle; they were the ones who braved gunfire to carry wounded soldiers to the hospital.
d. In many divisions, soldiers who had lived through combat took up collections in order to provide bonuses for the medics.
e. Interviewing veterans of World War II, author Stephen Ambrose consistently heard from men who believed they owed their lives to some member of the medical core.




Inference


a. The combat experience profoundly changed the way soldiers felt about the medical core.
b. Despite their bravery in the battles of World War II, medics never really received the respect that was due them.


แบบฝึกหัดที่ 4


อ่านแต่ละย่อหน้า เลือกการอนุมานที่รวบรวมความคิดหลัก (main idea) อย่างมีประสิทธิผล
1. When World War II broke out in Europe in 1939, the United States was the only major power without a propaganda agency. More important, despite prodding from England and France, the U.S. had no plans to create one. During World War I, a government-based group known as the Committee for Public Information had successfully stirred up public feeling against German-Americans because America was at war with Germany. As a result, many innocent German-American citizens had been insulted, beaten, even lynched. In addition, a good portion of the American public still believed that the United States had been tricked into entering World War I because of British propaganda. Distrustful of propaganda in general, there was little widespread support for a government agency dispensing it when the second world war broke out.




Inference
a. Because of what had happened during World War I, the American public was suspicious of propaganda and not inclined to support its use when World War II first erupted.
b. Aware of how the German government was using propaganda to spread hate and violence, the American public was reluctant to make use of it at the beginning of World War II.


2. At his death in 1971, trumpeter Louis Armstrong was much loved as a celebrity. Yet as a musician, he no longer commanded wide respect among the general public. To most people, he was the man with the toothy smile who made occasional appearances in television and movies usually singing what had become his signature songs "Hello, Dolly" and "It's a Wonderful World." Jazz enthusiasts, however, had another take on the passing of Louis Armstrong. To them he was the New Orleans-born musician who had, along with Bix Beiderbecke, introduced the solo to jazz. With records like "Struttin' with Some Barbecue," "I'm not Rough," and "Potato Head Blues," Louis became the first great jazz influence. As music critic Terry Teachout has written, Louis Armstrong was "the player other players copied." Still, at his death, few really knew what Louis had accomplished. In his honor, radio and television broadcasts played "Hello Dolly," not "West-End Blues," his 1928 recording that starts off with what may be the most famous horn solo in jazz.




Inference
a. A hero to much of the jazz community, Louis Armstrong was forgotten by the general public at the time he died.


b. At his death, Louis Armstrong was a beloved celebrity whose spectacular achievements had been forgotten by all but devoted jazz fans.


แบบฝึกหัดที่ 5


Directions: Read each paragraph. Then draw an inference that sums up the main idea.
อ่านแต่ละย่อหน้า ใช้การอนุมานที่รวบรวมความคดหลัก (main idea)
1. In the movies, England's King Richard the First—he of the lion heart and Robin Hood fame—is a hero of spotless reputation. In Hollywood's many versions of the Robin Hood story, for example, Robin worships good King Richard and would willingly die for him. History, however, offers a different slant on Richard's supposed goodness. In 1189, the Pope called for yet another crusade to take back the holy land of Jerusalem from Moslem rule. Intent on following the Pope's order, Richard combined forces with King Philip the II of France. Together, they managed to take the town of Acre, a port on what is now Israel's Northwestern coast. Attempting to blackmail the Moslem ruler Saladin into giving up sacred lands, Richard took 2,500 civilians hostage, many of them women and children. When Saladin refused, Richard promptly slaughtered every last one of his hostages.


Inference:


2. When Bonnie Parker met Clyde Barrow, she was twenty years old. Although she had been a rebellious child and teenager, she had never broken a law in her life. The worst thing she had done in her mother's opinion was run off and get married to a shiftless womanizer who humiliated and neglected her. When Clyde came along, Bonnie was ripe for the attentions of a man who seemed to think she was both important and attractive. As long as he didn't desert her, Bonnie didn't much care about Clyde's two-year jail sentence. In jail at least, she knew where he was, and she could write him daily letters about how much she loved him. Bonnie, however, got nervous when she heard that Clyde was planning a jailbreak. To bind him more tightly to her, she smuggled him a gun and helped him escape. After he got caught and sent back to prison, Bonnie was even more determined to wait for the man she called her "one true love." Upon his release from jail, Bonnie took Clyde home to meet her folks and announced she was going to Houston, Texas to get a new job. The next time her mother heard from her, Bonnie Parker was sitting in jail and had formally started her career as one half of the most famous bandit duo in history.


Inference:








เฉลย
แบบฝึกหัดที่ 1


1.Abraham Lincoln
Clue: He steered the country through civil war.
Explanation: Lots of people have big Adam’s apples, but America has had only one civil war.


2.Tina Turner
Clue: She ruled the stage but Ike ruled the roost.
Explanation: There were many popular women singers in the sixties but only one was linked to a domineering husband named Ike.




แบบฝึกหัดที่ 2
คำตอบอาจมีหลากหลาย
1. Inference: The puppy may well have been abused by its former owners.
2. Inference: The students are going to take advantage of the substitute teacher.


แบบฝึกหัดที่ 3  1. b; 2. a


แบบฝึกหัดที่ 4   1. a; 2. b


แบบฝึกหัดที่ 5   คำตอบอาจมีหลากหลาย


1. Richard the Lionhearted was not so pure of heart as some movies suggest.
2. Her romantic attachment to Clyde Barrow led Bonnie Parker into a life of crime.

การอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea)

การอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea)
ใจความสำคัญ (Main Idea) คืออะไร ?
Main Idea คือ ใจความสำคัญหรือใจความหลักของเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ครอบคลุมและควบคุมเรื่องนั้นๆ กล่าวคือ ในแต่ละย่อหน้าต้องมี main idea เพียงอันเดียว และถ้าเมื่อขาด main idea ไปแล้ว ย่อมจะทำให้ไม่เกิดเนื้อเรื่องต่างๆ ขึ้น หรือทำให้ไม่ทราบจุดประสงค์เรื่องนั้นๆ แล้วทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้โดยปกติแล้ว main idea จะเป็นประโยคเท่านั้น การวิเคราะห์และค้นหา main idea ได้ ต้องเกิดจากการค้นหา Topic มาก่อน และนำเอาส่วน topic มารวมกับข้อความ ที่คอยควบคุมสาระเกี่ยวกับ topic นั้น กล่าวโดยสรุป คือ

1) พินิจพิเคราะห์และหา topic หรือเนื้อเรื่องที่อ่าน ว่าด้วยเรื่องอะไร (What is the topic idea?)               
                                                                         
2) ส่วนที่ควบคุมประเด็นสาระที่เสนออยู่นั้นคืออะไร นั่นคือถูกควบคุมให้พูดถึงสิ่งใด แล้วนำเอา topic + สิ่งที่ควบคุม controlling idea) ก็จะได้เป็น main idea จึงเห็นได้ว่า main idea ที่ถูกต้อง จะต้องครอบคลุมสิ่งที่กล่าวในเรื่องได้โดยเฉพาะประเด็นหลักMain Idea & Topic sentence มีความคล้ายคลึงกันมาก Topic Sentence หมายถึง ประโยคที่บรรจุหัวเรื่องและใจความสำคัญไว้ ส่วนใหญ่มักวางไว้ที่ประโยคแรก หรือประโยคสุดท้ายของข้อความ ซึงมักหาได้จากเนื้อเรื่อง 

ประเภทของ Main Idea: 
 โดยทั่วไป ใจความสำคัญมีอยู่ทั้งหมด 2ชนิดได้แก่

1. State main idea คือ หลักใหญ่ใจความที่สำคัญที่สุดของเรื่อง ซึ่งผู้เขียนบอกมาตรงๆ สามารถครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องได้ทั้งหมด จะต้องตั้ง main idea ไว้ในการเขียน และบรรยายหรือธิบายโดยยึด main idea เป็นหลัก ส่วนที่ขยายหรือบรรยายให้รายละเอียดต่อจาก main idea คือ supporting idea โดยปกติ ในเนื้อความหนึ่งๆ เรามักจะพบ state main idea ได้ในตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายของย่อหน้า


2. Implied main idea หมายถึง การกล่าวถึง main idea ในลักษณะที่ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยมาตรงๆ ทันที เพียงแต่แสดงนัยให้เห็นเท่านั้น ผู้อ่านต้องวินิฉัยเอาเองเพื่อให้เห็นได้ชัดๆ Main Idea มีกี่ชนิดตำแหน่งของ Main Idea อยู่ตรงไหนบ้าง
2.1. อยู่ตรงต้นเรื่อง 
ตัวอย่าง: A baby elephant is the biggest of all land babies. A newborn baby weighs more than two hundred pounds. It is about three feet high. The new baby is strong, too. Almost as soon as it is born, it can walk about. (ย่อหน้านี้กล่าวถึงลูกช้างว่าเป็นลูกสัตว์บก (land babies) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยบอกว่า ลูกช้างที่เกิดใหม่ จะมีน้ำหนักมากกว่า 200 ปอนด์ และสูงราว ๆ 3 ฟุต นอกจากนี้ ยังแข็งแรงด้วย เพราะตอนที่คลอดออกมา มันจะสามารถเดินได้ทันที ดังนั้น ใจความสำคัญ (main idea) จึงอยู่ที่ประโยคแรก คือ A baby elephant is the biggest of all land babies.)
2.2 อยู่ตรงกลางเรื่อง
ตัวอย่าง:  Keep your tree outdoors until the day before Christmas. Never use lighted candles. There are also other suggestions for avoiding a Christmas tree fire. Turn off the lights before you leave the house and throw away the tree by New Year's Day. (ย่อหน้านี้กล่าวถึงคำแนะนำ เพื่อหลีกเลี่ยง มิให้เกิดไฟไหม้ต้นคริสต์มาสว่า ให้นำต้นคริสต์มาสไปไว้นอกบ้าน ก่อนจะถึงวันคริสต์มาสและไม่ให้จุดเทียนไว้ด้วย นอกจากนี้ ยังแนะนำอีกว่า ให้ปิดไฟก่อนออกจากบ้าน และทิ้งต้นไม้เมื่อถึงวันปีใหม่ ดังนั้น ใจความสำคัญ (main idea) จึงอยู่ที่ประโยคกลาง คือ There are also other suggestions for avoiding a Christmas tree fire.)

2.3 
อยู่ท้ายเรื่อง (มีการกล่าวซ้ำอีกครั้งในตอนท้าย)
ตัวอย่าง: Most people are free to enjoy themselves in the evenings and on weekends. Some spend their time watching television, listening to the radio, or going to movies; others participate in sports. It depends on their interests. There are various ways to spend one's free time.   (ย่อหน้านี้กล่าวถึง การใช้เวลาว่างของคนในตอนเย็น และวันสุดสัปดาห์ว่า บางคนจะดูโทรทัศน์ บางคนฟังวิทยุ ไปชมภาพยนตร์หรือไปเล่นกีฬา มันขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน มีวิธีที่จะใช้เวลาว่างมากมายหลายวิธี ดังนั้น ใจความสำคัญ (Main Idea) จึงอยู่ที่ประโยคท้าย คือ There are various ways to spend one's free time.

2.4 
ไม่อยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่ง แต่ต้องสรุปเองโดยนัยดังที่กล่าวแล้วว่า การหา main idea นั้น จะต้องมีการค้นหา topic ก่อน ดูว่าเรื่องที่อ่านกล่าวถึงคำนามตัวไหนบ่อยที่สุด (topic Noun) แล้วดูว่ามีการกล่าวถึงนามคำนั้นว่าอย่างไร (Topic Idea) แล้วจึงดูว่าข้อความที่เป็นใจความสำคัญของเรื่อง topic idea นั้นอยู่ในประโยคใด ประโยคนั้นแหละเป็น Topic sentence หรือ Main Idea

15 คําถามที่นิยมใช้มากถามเกี่ยวกับใจความสําคัญ (Main Idea) =
1. What is the author's main point?
2. The main thought of this passage is _____ .
3. The main theme of the passage is _____ .
4. The best statement of this passage's main thought is that _____ .
5. What is the main idea of the passage?
6. The passage is primarily concerned with ….
7. Which of the following statements expresses the main idea?



Tips and Tricks
    
       
เคล็ดลับเด็ดๆ Main Idea: คำถามที่ถามถึงความคิดหลักของประโยคหรือบางทีถามถึงชื่อเรื่อง Title ทุกครั้งที่อ่านเนื้อเรื่องจึงต้อง หมั่นหา key word หรือ คำ วลี หรือประโยคซ้ำๆ กรุณาอย่าลืมความสำคัญของ paragraph แรกโดยเฉพาะประโยคแรกซึ่งมักจะ สื่อความคิดหลักของเนื้อเรื่องให้กับผู้อ่าน วิธีสังเกตง่ายมาก –*ใน Passage ทั่วไปถ้ามีการพูดถึงคำนามคำไหนมากที่สุด นั่นคือ Main Idea

ข้อควรสังเกตในการหาใจความสำคัญ (Main Idea)
1. Main idea มักจะขยายหัวเรื่อง (Topic) ของบทความ
2. Main idea อาจซ่อนอยู่ในประโยคต้นๆของบทความ
3. Main idea อาจเขียนซ่อน อยู่ตรงกลางหรือ ในประโยคท้ายๆ ของบทความ

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญภาษาอังกฤษ ด้วยการทำแบบฝึกทักษะอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะอย่างหลากหลายวิธี สามารถทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการในการอ่านจับใจความดีขึ้น เช่น อ่านโฆษณา อ่านฉลากยา อ่านเรื่องสั้นแล้วตอบคำถาม อ่านการ์ตูน อ่านกราฟ อ่านป้ายต่างๆ


หลักการอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Ideas)


1. อ่านเรื่องที่ต้องการจับใจความสำคัญโดยเริ่มตั้งแต่ชื่อเรื่อง เพราะชื่อเรื่องมักสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง หรือช่วยบ่งชี้ให้เห็นจุดสนใจของเรื่อง ให้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบแล้วตอบคำถามให้ได้ว่า เรื่องที่อ่านเป็นเรื่องอะไร ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทำไมจึงทำ และได้ผลอย่างไร


2. พิจารณาหาใจความสำคัญจากแต่ละย่อหน้า ย่อหน้าที่ดีต้องมีเอกภาพ ดังนั้นแต่ละย่อหน้าจึงมีใจความสำคัญเดียวซึ่งครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด นอกจากนี้ผู้อ่านอาจสังเกตคำสำคัญ (keyword) ที่มักปรากฏให้เห็นหลายครั้งในย่อหน้านั้น อย่างไรก็ดีมิใช่ว่าทุกย่อหน้าจะมีใจความสำคัญของเรื่องเสมอไป หากย่อหน้านั้นเป็นเพียงการยกตัวอย่าง หรือรายละเอียดขยายใจความสำคัญในย่อหน้าก่อน


3. นำใจความสำคัญของเรื่องที่จับมาได้ทั้งหมดมาเรียบเมื่อเราอ่านประโยค สิ่งที่เราต้องทราบคือ ประโยคกล่าวถึงใคร (Subject) ทำอะไร (Verb) เพราะสิ่งนี้ จะทำให้เข้าใจ Main Idea ของประโยค ส่วน Supporting details ของประโยคจะประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ เช่น ทำต่อใคร (Object) 



แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea Exercises)

Directions: Read and find the main ideas of all these short passages


1. After the hurricane, there was no water and not much food on the island. It is still very bad. Many people no longer have homes and living in schools. Others are in hospitals. We need help from other countries.
A. The writer wants to help for his family.                                   
B. The writer wants to help for his country.
C. The writer wants some food for his country.


2. John never has any money. He has a good salary, but he’s always borrowing money, “Where does it go?” asks his mother. “Don’t ask me, says John, “All I do is buy clothes, go to the theater and eat in the restaurants.”
 A. John eats in restaurants.
B. John’s mother buys clothes with his money.
C. John uses all his money and doesn’t save.


3. Erika liked the blue dress and wanted to buy it. “How much is it?” She asked. “Twenty   ninety-five,” said the clerk. “Oh, I don’t have that much money,” said Erika. “You can charge it,” answered the clerk.
A. The dress was twenty ninety-five.
B. Erika liked the dress and wanted to buy it.                                  
C. Erika didn’t have the money.


4. Mr. James has a financial problem. He tries to pay his bills every month. This month he paid the rent, the gas company, and the department stores. He didn’t pay his electricity bill. Now Mr. James can’t even watch television!
 A. Mr. James doesn’t have television.                                                               
B. Mr. James doesn’t have gas.
C. Mr. James doesn’t have electricity.


5. Bicycles are very popular today in many countries. Many people use bicycles for exercise. But exercise is only one of the reasons why bicycle are popular. Another reason is money. Bicycles are not expensive to buy. They do not need gas to make them go. They also are easy and cheap to fix. In cities, many people like bicycles better than cars. With a bicycle, they never have to wait in traffic. They also do not have to find a place to park. And finally, bicycles do not cause any pollution!
A. Bicycles are better than cars.   
B. Bicycles do not cause the pollution.               
C. Bicycles are popular today for many people.


6. Louise called Mark on Saturday morning. “What are you doing tonight?” she asked. Mark said, “Tom asked me to go to a baseball game with him. Do you want to come with us, too? He can bring his friend, Jack” “OK,” said Louise. “I like Jack.”
A. The four friends are going to a baseball game.
B. The two friends are going to a baseball game.
C. Tom and Mark are going to a baseball game.


7. Eric went to a movie and enjoyed it very much. It was the story of a family with 17 children. The family sang and danced. After the movie, Eric said to his mother, “That was good. Why don’t you go to see it, too?”
A. Eric saw a movie with 17 children.                       
 B. Eric told his mother to see the movie.
C. Eric saw an entertaining movie yesterday.


8. “The prices are very high in this restaurant,” said Evelyn to her friend. “Don’t think about the price,” said Edwin. “I want you to enjoy your meal. Order anything you want from the menu. My salary is higher now, and I have a lot of money for our dinner.”
 A. Evelyn and Edwin are eating in a restaurant with high prices.
B. Evelyn can order anything she wants from the menu.
C. Edwin has a higher salary now.


9. Jenny worked late four days, and her boss wanted to thank her. He paid her more money and took her to dinner at a nice restaurant. “You’re a good secretary, Jenny,” he said. “Thank you for your help.”
 A. The boss paid Jenny extra money.
B. The boss wanted to thank Jenny for her help.
C. The boss took Jenny to dinner.


10. Juan loves to play games. His favorite game is chess because it requires a great deal of thoughts .Juan also likes to play less demanding board games that are based mostly on luck. He prefers Monopoly because it requires luck and skill. If he’s alone, Juan likes to play action video games very much
A. Juan dislikes violence.                          
B. Juan likes to think.
 C. Juan enjoys Monopoly.

เฉลยแบบฝึกหัด
1.B 2. C 3. C 4. C 5. C 6. A 7. B 8. B 9. B 10. B 







Reading Comprehension – Title & Main Idea 2

A number of years ago, Don Taylor left Oshkosh, Wisconsin, and did something that officials say constitute a record – a most unusual record. He completed a 23,000-mile trip around the world – in an airplane he built himself!
Taylor’s journey took sixty days, and he estimated that he spent more than eight hundred hours of that period in the plane itself. His longest continuous time in the air was ten hours, from Midway to the Aleutian Islands. The plane, which he called the “Victoria ’76,” had a wingspan of twenty-one feet and an engine capable of developing 180 horsepower. This flight was not his first attempt. In 1974, he failed to circle the globe because of bad weather conditions over Japan.
Flying over the Iranian desert was one of his worst experiences, Taylor recalled – especially as he was forced to land and spend a night in a camel stable!

1. What is the best title for this passage?

     A. Traveling from Wisconsin to Iran
     B. The Dangers of Flying over a Desert
     C. How to Build Your Own Airplane
     D. A Man and His Plane Go Around the World

2. What is the main idea of the first paragraph?
     A. The difficulty of building an airplane
     B. The success of Don Taylor
     C. Breaking of a world record
     D. Taylor’s unusual journey

ANSWERS: 1. D 2.B

ฝึกตีความจากเรื่อง Making Inferences   

อยากอ่านหนังสือเก่งๆ ต้องมีทักษะอีกอย่างหนึ่ง คือ Making Inference หรือการตีความจากเรื่อง การตอบคำถามจากเนื้อเรื่องได้โดยที่ไม่มีข้อความเขียนบอกโดยตรง แต่เราสรุปจากเนื้อหาที่อ่าน เป็นการคิดวิเคราะห์จากการอ่านค่ะ
ลองมาดูตัวอย่างกันนะ

1.         The girl showed the lady her ticket. Then she walked down the stairs and  found her seat. The players ran onto the field. They got into their positions. The ball went up in the air and the game began.
           Where was the girl?

  2.       The young woman looked down at her long dress. She felt like a princess. She and the others stood in the hall. They listened to the music. Then she heard the cue. She walked down the aisle as she held her flowers.
           What was this event?

     3.      The man measures the wood and uses a saw to cut it. He puts the   wood in place and  hammers nails into it. He continues until the entire wall is built.
            What is this man’s job?
 4.        The students were very quiet when the teacher walked over to the science center. The children sat at their desks and looked down at their hands. No one made a sound. The teacher looked around the classroom. Then she saw the pieces on the floor.
             What happened in the classroom?

 5.         The boy rode his bike to his friend’s house after dinner. When he got there, he rang the bell. He waited, but no one came to the door. He looked in the driveway. The car was not there. There were no lights on and the windows were all closed. The boy got back on his bike and went home.
             What did the boy think?

 ที่มา: จากการศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัย Cambridge

  คำตอบอยู่ข้างล่างนี้ แต่ต้องเลือกเอาเองนะว่าตรงกับข้อไหน
       No one was home.
       Someone broke a glass
       Carpenter
       Wedding
        Football game